Translate
วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2556
วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556
ฟัลคาเนลลี (Fulcanelli)
นักเล่นแร่แปรธาตุผู้เต็มไปด้วยปริศนามากมายที่ไม่เคยมีใครสามารถเปิดเผยหรือล่วงรู้ความจริงมาก่อนทั้งเรื่องส่วนตัวและชีวิตการทำงาน มีเพียงเรื่องเล่าขานที่กล่าวกันมา ซึ่งเรื่องที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงมากที่สุดก็คือ การที่เขาสามารถทำให้ตะกั่วจำนวน 100 กรัมกลายเป็นทองคำได้ โดยใช้ผงสูตรพิเศษที่เขาได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากอาจารย์
นอกจากนี้เขายังมีความรู้ในเรื่องของอาวุธนิวเคลียร์ด้วย โดยเขาได้อธิบายหลักการ ขั้นตอน และวิธีการผลิตอย่างละเอียดให้กับนักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งฟังพร้อมทั้งยังทราบว่าอีกไม่นานมนุษย์ในโลกอนาคตจะมีการนำนิวเคลียร์มาใช้เป็นอาวุธต่อสู้ในศึกสงคราม
ที่มาของเขามีเพียงคำบอกเล่าของลูกศิษย์เท่านั้น ที่กล่าวถึงอาจารย์ผู้เก่งกาจว่า เขาได้เดินทางไปยังปราสาทที่ตั้งอยู่บนเขาสูงในประเทศสเปนเพื่อพบกับคนสำคัญคนหนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีใครได้พบเห็นอีกเลย และไม่แน่ใจด้วยว่าเขาลาจากโลกนี้ไปแล้ว หรือใช้ชีวิตอยู่อย่างคนอมตะไปตลอดกาล
นักเล่นแร่แปรธาตุผู้เต็มไปด้วยปริศนามากมายที่ไม่เคยมีใครสามารถเปิดเผยหรือล่วงรู้ความจริงมาก่อนทั้งเรื่องส่วนตัวและชีวิตการทำงาน มีเพียงเรื่องเล่าขานที่กล่าวกันมา ซึ่งเรื่องที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงมากที่สุดก็คือ การที่เขาสามารถทำให้ตะกั่วจำนวน 100 กรัมกลายเป็นทองคำได้ โดยใช้ผงสูตรพิเศษที่เขาได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากอาจารย์
นอกจากนี้เขายังมีความรู้ในเรื่องของอาวุธนิวเคลียร์ด้วย โดยเขาได้อธิบายหลักการ ขั้นตอน และวิธีการผลิตอย่างละเอียดให้กับนักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งฟังพร้อมทั้งยังทราบว่าอีกไม่นานมนุษย์ในโลกอนาคตจะมีการนำนิวเคลียร์มาใช้เป็นอาวุธต่อสู้ในศึกสงคราม
ที่มาของเขามีเพียงคำบอกเล่าของลูกศิษย์เท่านั้น ที่กล่าวถึงอาจารย์ผู้เก่งกาจว่า เขาได้เดินทางไปยังปราสาทที่ตั้งอยู่บนเขาสูงในประเทศสเปนเพื่อพบกับคนสำคัญคนหนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีใครได้พบเห็นอีกเลย และไม่แน่ใจด้วยว่าเขาลาจากโลกนี้ไปแล้ว หรือใช้ชีวิตอยู่อย่างคนอมตะไปตลอดกาล
เคาท์ เซนต์ เกอร์แมน (Comte St Germain)
ข้าราชสำนักผู้นี้มีความสามารถอันหลากหลายทั้งศาสตร์และศิลป์ในฝรั่งเศส เพราะเขาเป็นทั้งข้าราชการ นักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ นักไวโอลิน และนักประพันธ์มือสมัครเล่น ในขณะเดียวก็ยังเป็นบุคคลลึกลับของโลกด้วย ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่รู้จักกันเป็นอย่างดีในนาม Der Wundermann หรือวันเดอร์แมน โดยเขาปรากฏตัวและหายไปอย่างลึกลับ มีเพียงบันทึกเกี่ยวกับตัวเขาที่ถูกเขียนขึ้นในปีค.ศ. 1745 ที่สามารถนำมาใช้ยืนยันการมีอยู่ของเขาได้เท่านั้น ซึ่งเนื้อหาภายในนั้นกล่าวว่า เขาเข้ามาอาศัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสประมาณ 2 ปี ทั้งในระหว่างนั้นก็ไม่เคยเปิดเผยประวัติของตัวเองให้ใครทราบเลย รู้แค่เพียงว่าเป็นคนเก่งที่หาตัวจับได้ยากคนหนึ่ง และมั่นใจว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายธรรมดาสามัญชนทั่วไปอย่างแน่นอน แต่อาจจะเป็นเชื้อพระวงศ์ หรือสายลับที่ถูกส่งตัวมายังฝรั่งเศสก็มิอาจล่วงรู้ที่มาที่ไปของคนผู้นี้ได้
ข้าราชสำนักผู้นี้มีความสามารถอันหลากหลายทั้งศาสตร์และศิลป์ในฝรั่งเศส เพราะเขาเป็นทั้งข้าราชการ นักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ นักไวโอลิน และนักประพันธ์มือสมัครเล่น ในขณะเดียวก็ยังเป็นบุคคลลึกลับของโลกด้วย ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่รู้จักกันเป็นอย่างดีในนาม Der Wundermann หรือวันเดอร์แมน โดยเขาปรากฏตัวและหายไปอย่างลึกลับ มีเพียงบันทึกเกี่ยวกับตัวเขาที่ถูกเขียนขึ้นในปีค.ศ. 1745 ที่สามารถนำมาใช้ยืนยันการมีอยู่ของเขาได้เท่านั้น ซึ่งเนื้อหาภายในนั้นกล่าวว่า เขาเข้ามาอาศัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสประมาณ 2 ปี ทั้งในระหว่างนั้นก็ไม่เคยเปิดเผยประวัติของตัวเองให้ใครทราบเลย รู้แค่เพียงว่าเป็นคนเก่งที่หาตัวจับได้ยากคนหนึ่ง และมั่นใจว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายธรรมดาสามัญชนทั่วไปอย่างแน่นอน แต่อาจจะเป็นเชื้อพระวงศ์ หรือสายลับที่ถูกส่งตัวมายังฝรั่งเศสก็มิอาจล่วงรู้ที่มาที่ไปของคนผู้นี้ได้
วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556
หอเอนที่หยุดแล้ว(สิ่งลี้ลับ)
หอเอนปีซาสร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ.1173 เริ่มเอียงเพราะพื้นดินด้านหนึ่งอ่อนนุ่มมาก รัฐบาลอิตาลีเคยทำการบูรณะครั้งใหญ่เพื่อป้องกันการถล่มการซ่อมแซมตลอดสิบปีสิ้นสุดลงเมื่อ ปี ค.ศ.2001 ผู้เชี่ยวชาญได้ประกาศว่าหอเอนปีซาจะไม่เอนไปกว่าเดิมอีกแล้วและจะยืนหยัดอย่างมั่นคงปลอดภัยไปได้อีกราว 300 ปี
หอเอนปีซาสร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ.1173 เริ่มเอียงเพราะพื้นดินด้านหนึ่งอ่อนนุ่มมาก รัฐบาลอิตาลีเคยทำการบูรณะครั้งใหญ่เพื่อป้องกันการถล่มการซ่อมแซมตลอดสิบปีสิ้นสุดลงเมื่อ ปี ค.ศ.2001 ผู้เชี่ยวชาญได้ประกาศว่าหอเอนปีซาจะไม่เอนไปกว่าเดิมอีกแล้วและจะยืนหยัดอย่างมั่นคงปลอดภัยไปได้อีกราว 300 ปี
วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556
หรือจะเป็นสุสานของเชื้อพระวงศ์(สิ่งลี้ลับ)
สโตเฮนจ์เป็นคำที่มีความหมายว่า หินที่วางพาดในอากาศ ปริศนาที่คนยุคปัจจุบ้นหาคำตอบไม่ได้ก็คือว่าคนโบราณเคลื่อนย้ายแทงหินที่สูง 8 เมตรและหนัก 25-50 ตัน มาวางพาดกันได้อย่างไร และทำแบบนั้นไปดพื่ออะไร ไม่นานมานี้ได้มีการยืนยันจากนักโบราณคดีชาวอังกฤษว่า สโตเฮนจ์ อาจเป็นสุสานของชนชั้นปกครองก็เป็นได้
สโตเฮนจ์เป็นคำที่มีความหมายว่า หินที่วางพาดในอากาศ ปริศนาที่คนยุคปัจจุบ้นหาคำตอบไม่ได้ก็คือว่าคนโบราณเคลื่อนย้ายแทงหินที่สูง 8 เมตรและหนัก 25-50 ตัน มาวางพาดกันได้อย่างไร และทำแบบนั้นไปดพื่ออะไร ไม่นานมานี้ได้มีการยืนยันจากนักโบราณคดีชาวอังกฤษว่า สโตเฮนจ์ อาจเป็นสุสานของชนชั้นปกครองก็เป็นได้
ประติมากรรมรูปสัตว์ในเทพนิยาย(สิ่งลี้ลับ)
สฟิงซ์เป็นประติมากรรมหิน สร้างตามสัตว์ในความเชื่อของชาวตะวันออก สฟิงซ์เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจแห่งฟาโรห์ พบเห็นได้ตามพระราชวัง วิหารและพีระมิด สฟิงซ์หน้าพีระมิดคาเฟรเป็นสฟิงซ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด โดยมีความยาว 70 เมตร สูง 20 เมตรสร้างขึ้นเมื่อ 2600 ปีก่อนคริสตกาล
สฟิงซ์เป็นประติมากรรมหิน สร้างตามสัตว์ในความเชื่อของชาวตะวันออก สฟิงซ์เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจแห่งฟาโรห์ พบเห็นได้ตามพระราชวัง วิหารและพีระมิด สฟิงซ์หน้าพีระมิดคาเฟรเป็นสฟิงซ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด โดยมีความยาว 70 เมตร สูง 20 เมตรสร้างขึ้นเมื่อ 2600 ปีก่อนคริสตกาล
เส้นทางสู่เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ (สิ่งลี้ลับ)
ชาวอียิปต์ สร้างพีระมิดขึ้นมาเป็นสุสานของฟารโรห์เพราะมีความเชื่อในเทพเจ้ารา ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ นักโบราณคดีเชื่อว่าชาวอียิปต์สร้างสุสานให้สูงใหญ่เพื่อส่งกษัตริย์ที่สิ้นพระชนม์ให้ไปอยู่ใกล้แห่งดวงอาทิตย์ นอกจากนี้พีระมิดซึ่งเป็น สถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ยังแสดงถึงอำนาจทางการเมืองของฟาโรห์อีกด้วย
ชาวอียิปต์ สร้างพีระมิดขึ้นมาเป็นสุสานของฟารโรห์เพราะมีความเชื่อในเทพเจ้ารา ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ นักโบราณคดีเชื่อว่าชาวอียิปต์สร้างสุสานให้สูงใหญ่เพื่อส่งกษัตริย์ที่สิ้นพระชนม์ให้ไปอยู่ใกล้แห่งดวงอาทิตย์ นอกจากนี้พีระมิดซึ่งเป็น สถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ยังแสดงถึงอำนาจทางการเมืองของฟาโรห์อีกด้วย
วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2556
แนะนำสุดยอดบล็อก
วันนี้ขอแนะนำสุดยอดบล็อก
เรื่อง บล็อกแม่น้ำสายสำคัญ
เรื่อง บล็อกการแต่งกายประจำชาติอาเซียน
เรื่อง บล็อกสุนัขพันธุ์ปอมปอมน่ารู้
เรื่อง บล็อกอาเซียนควรรู้
เรื่อง บล็อกสิ่งประดิษฐ์รักโลก
http://achiraya07.blogspot.com เรื่อง บล็อกมรดกโลก
http://jamp2522.blogspot.com
เรื่อง บล็อกสัตว์เลี้ยงแสนรัก
http://sirikorntt.blogspot.com
เรื่อง บล็อกสถานที่ท่องเที่ยว
http://bellaanubanranong.blogspot.com
เรื่อง บล็อกนาฬิกานาโนและไอโฟน
http://mildza12300.blogspot.com
เรื่อง บล็อกมหัศจรรย์โลกการ์ตูน
http://readandwatchcartoonfree.blogspot.com
http://jamp2522.blogspot.com
เรื่อง บล็อกสัตว์เลี้ยงแสนรัก
http://sirikorntt.blogspot.com
เรื่อง บล็อกสถานที่ท่องเที่ยว
http://bellaanubanranong.blogspot.com
เรื่อง บล็อกนาฬิกานาโนและไอโฟน
http://mildza12300.blogspot.com
เรื่อง บล็อกมหัศจรรย์โลกการ์ตูน
http://readandwatchcartoonfree.blogspot.com
วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556
ธนบัตร ตะเกียบ
วิธีการทดลอง
1.พับธนบัตรให้เป็นครึ่งนึง
2.วางตะเกียบไว้บนสันของธนบัตร
3.แล้วค่อยๆกางธนบัตรออกมาให้ตร ง
ผลที่เกิดขึ้น
ตะเกียบจะอยู่บนสันธนบัตรพอดี แล้วสามารถยกธนบัตรขึ้นลงได้โดย ที่ตะเกียบจะไม่ตก
เป็นเพราะอะไร
เป็นเพราะแรงเสียดทานในขณะที่กา งธนบัตรออก ตะเกียบที่วางอยู่จะขยับตามไปด้ วย เพราะจุดที่ตะเกียบสัมผัสกับธนบ ัตรจะเกิดแรงเสียดทาน จุดที่มีเเรงเสียดทามมากกว่าจะเ คลื่อนที่ตามธนบัตร ในขณะที่อีกจุดหนึ่งจะปล่อยให้ธ นบัตรเคลื่อนที่ผ่านไปโดยทั้ง2จ ุด จะสลับไปมา จนธนบัตรกางออกเป็นเส้นตรง ตะเกียบก้อจะวางอยู่บนสันธนบัตร พอดี
วิธีการทดลอง
1.พับธนบัตรให้เป็นครึ่งนึง
2.วางตะเกียบไว้บนสันของธนบัตร
3.แล้วค่อยๆกางธนบัตรออกมาให้ตร
ผลที่เกิดขึ้น
ตะเกียบจะอยู่บนสันธนบัตรพอดี แล้วสามารถยกธนบัตรขึ้นลงได้โดย
เป็นเพราะอะไร
เป็นเพราะแรงเสียดทานในขณะที่กา
การทดลองเทียนไขดูดน้ำ
อุปกรณ์การทดลอง
1.เทียนไข 2.แก้วน้ำ 3.จาน 4.ถ้วยใส่น้ำ 5.ไม้ขีดไฟหรือไฟแช็ก (ใส่สีผสมอาหารเพื่อให้มีสีสันก็ได้)
วิธีการทดลอง
1.ให้หยดสีผสมอาหารลงในน้ำที่เตรียมไว้เพื่อให้น้ำเป็นสีที่เราใส่ลงไป
2.ให้เทน้ำที่ผสมสีไว้แล้วลงในจานที่เตรียมไว้
3.นำเทียนไปวางบริเวณกึ่งกลางของจานแล้วจุดไฟ
4.นำแก้วครอบเทียนไว้ รอสักครู่ไฟจะดับสังเกตว่าน้ำที่อยู่รอบๆแก้วจะค่อยๆ ไหลเข้ามาอยู่ในแก้
สรุปผลการทดลอง
สาเหตุที่น้ำด้านนอกสามารถเข้าไปอยู่ภายในแก้วได้ก็เพราะเมื่อ ออกซิเจนที่มีภายในถูกใช้ในการเผาไหม้จนหมดน้ำและออกซิเจนที่อยู่ด้านนอกจะถูกดันเข้าไปแทนที่อากาศข้างในแก้ว
อุปกรณ์การทดลอง
1.เทียนไข 2.แก้วน้ำ 3.จาน 4.ถ้วยใส่น้ำ 5.ไม้ขีดไฟหรือไฟแช็ก (ใส่สีผสมอาหารเพื่อให้มีสีสันก็ได้)
วิธีการทดลอง
1.ให้หยดสีผสมอาหารลงในน้ำที่เตรียมไว้เพื่อให้น้ำเป็นสีที่เราใส่ลงไป
2.ให้เทน้ำที่ผสมสีไว้แล้วลงในจานที่เตรียมไว้
3.นำเทียนไปวางบริเวณกึ่งกลางของจานแล้วจุดไฟ
4.นำแก้วครอบเทียนไว้ รอสักครู่ไฟจะดับสังเกตว่าน้ำที่อยู่รอบๆแก้วจะค่อยๆ ไหลเข้ามาอยู่ในแก้
สรุปผลการทดลอง
สาเหตุที่น้ำด้านนอกสามารถเข้าไปอยู่ภายในแก้วได้ก็เพราะเมื่อ ออกซิเจนที่มีภายในถูกใช้ในการเผาไหม้จนหมดน้ำและออกซิเจนที่อยู่ด้านนอกจะถูกดันเข้าไปแทนที่อากาศข้างในแก้ว
วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556
การทดลองดังกว่า
วัสดุอุปกรณ์
1.ลูกโป่ง
2.เศษกระดาษ
3.ไม้บรรทัด
4.ยางรัด
วิธีการทดลอง
1.เป่าลูกโป่งให้พองเต็มที่ แล้ววัดความกว้างของลูกโป่งนี้ว่าเป็นเท่าไร
2.ให้เพื่อนถือเศษกระดาษให้อยู่ระดับหูห่างจากหูเท่ากับความกว้าง ลูกโป่ง แล้วใช้นิ้วมือเคาะเบาๆที่กระดาษ สังเกตว่าได้ยินเสียงหรือไม่ อย่างไร
3.จับลูกโป่งในข้อ 1 แนบหู ให้เพื่อน สอดเศษกระดาษเข้าไประหว่าง ลูกโป่งและมือที่จับ แล้วใช้นิ้ว เคาะเบาๆที่กระดาษเปรียบเทียบ ความดังที่ได้ยิน
ผลการทดลอง
เมื่อเคาะเบาๆที่กระดาษที่แนบติดกับลูกโป่งจะได้ยินเสียงดังชัดเจน กว่าเมื่อเคาะโดยไม่มีลูกโป่งกั้น ที่เป็นดังนี้เพราะอากาศภายในลูกโป่งมี มากและถูกอัดให้อยู่ภายในลูกโป่ง ดังนั้นอนุภาค (โมเลกุล) ของอากาศจะ อยู่ใกล้ชิดกันมากกว่าอนุภาคของอากาศภายนอก อากาศที่มีอนุภาคใกล้ชิด กันมากจะเป็นตัวกลางที่ดีในการให้เสียงเคลื่อนที่ผ่าน
วัสดุอุปกรณ์
1.ลูกโป่ง
2.เศษกระดาษ
3.ไม้บรรทัด
4.ยางรัด
วิธีการทดลอง
1.เป่าลูกโป่งให้พองเต็มที่ แล้ววัดความกว้างของลูกโป่งนี้ว่าเป็นเท่าไร
2.ให้เพื่อนถือเศษกระดาษให้อยู่ระดับหูห่างจากหูเท่ากับความกว้าง ลูกโป่ง แล้วใช้นิ้วมือเคาะเบาๆที่กระดาษ สังเกตว่าได้ยินเสียงหรือไม่ อย่างไร
3.จับลูกโป่งในข้อ 1 แนบหู ให้เพื่อน สอดเศษกระดาษเข้าไประหว่าง ลูกโป่งและมือที่จับ แล้วใช้นิ้ว เคาะเบาๆที่กระดาษเปรียบเทียบ ความดังที่ได้ยิน
ผลการทดลอง
เมื่อเคาะเบาๆที่กระดาษที่แนบติดกับลูกโป่งจะได้ยินเสียงดังชัดเจน กว่าเมื่อเคาะโดยไม่มีลูกโป่งกั้น ที่เป็นดังนี้เพราะอากาศภายในลูกโป่งมี มากและถูกอัดให้อยู่ภายในลูกโป่ง ดังนั้นอนุภาค (โมเลกุล) ของอากาศจะ อยู่ใกล้ชิดกันมากกว่าอนุภาคของอากาศภายนอก อากาศที่มีอนุภาคใกล้ชิด กันมากจะเป็นตัวกลางที่ดีในการให้เสียงเคลื่อนที่ผ่าน
การทดลองลูกโป่งประหลาด
วัสดุอุปกรณ์
1.ลูกโป่ง
2.กระดาษ
3.เศษกระดาษ
4.ยางรัด
5.เกลือ น้ำตาล พริกไทย เส้นผม
วิธีการทดลอง
1. โรยเกลือ น้ำตาล พริกไทยไว้บนกระดาษซึ่งมีเศษกระดาษเล็กๆ อยู่
2. เป่าลูกโป่งแล้วรัดด้วยยางให้แน่น
3. แหย่ลูกโป่งใกล้ๆ เศษกระดาษ เกลือ น้ำตาล พริกไทย และ เส้นผม แล้วสังเกตผล
4. ถูลูกโป่งที่เสื้อผ้านักเรียน แล้ว ลองแหย่ใกล้ๆ วัสดุในข้อ 3 อีกครั้ง แล้วสังเกตผล
ผลการทดลอง
เมื่อแหย่ลูกโป่งที่ถูกับเสื้อผ้าใกล้ๆ เศษกระดาษน้ำตาล เกลือ พริกไทย และเส้นผมสิ่งเหล่านี้จะถูกดูดติดกับลูกโป่ง ทั้งนี้เนื่องจากขณะที่ถูลูกโป่งกับ เสื้อผ้านั้น จะเกิดไฟฟ้าสถิตขึ้น ทำให้สามารถดูดวัสดุเบาๆ ขึ้นมาได้
เศษกระดาษ น้ำตาล ฯลฯนั้นปกติอยู่ในสถานะเป็นกลาง เมื่อถูลูกโป่ง ด้วยเสื้อผ้าประจุลบจะมาเรียงกันที่ผิว เมื่อนำลูกโป่งมาใกล้เศษกระดาษ น้ำตาล เส้นผม ฯลฯ ประจุลบบนลูกโป่งจึงดูดประจุบวกบนเศษกระดาษ น้ำตาล เส้นผม ฯลฯ ทำให้สิ่งเหล่านี้ถูกดูดติดกับลูกโป่ง
การทดลองนี้ต้องทดลองในวันที่อากาศแห้ง วัสดุต่างๆ ต้องแห้งด้วย จึงจะได้ผล
วัสดุอุปกรณ์
1.ลูกโป่ง
2.กระดาษ
3.เศษกระดาษ
4.ยางรัด
5.เกลือ น้ำตาล พริกไทย เส้นผม
วิธีการทดลอง
1. โรยเกลือ น้ำตาล พริกไทยไว้บนกระดาษซึ่งมีเศษกระดาษเล็กๆ อยู่
2. เป่าลูกโป่งแล้วรัดด้วยยางให้แน่น
3. แหย่ลูกโป่งใกล้ๆ เศษกระดาษ เกลือ น้ำตาล พริกไทย และ เส้นผม แล้วสังเกตผล
4. ถูลูกโป่งที่เสื้อผ้านักเรียน แล้ว ลองแหย่ใกล้ๆ วัสดุในข้อ 3 อีกครั้ง แล้วสังเกตผล
ผลการทดลอง
เมื่อแหย่ลูกโป่งที่ถูกับเสื้อผ้าใกล้ๆ เศษกระดาษน้ำตาล เกลือ พริกไทย และเส้นผมสิ่งเหล่านี้จะถูกดูดติดกับลูกโป่ง ทั้งนี้เนื่องจากขณะที่ถูลูกโป่งกับ เสื้อผ้านั้น จะเกิดไฟฟ้าสถิตขึ้น ทำให้สามารถดูดวัสดุเบาๆ ขึ้นมาได้
เศษกระดาษ น้ำตาล ฯลฯนั้นปกติอยู่ในสถานะเป็นกลาง เมื่อถูลูกโป่ง ด้วยเสื้อผ้าประจุลบจะมาเรียงกันที่ผิว เมื่อนำลูกโป่งมาใกล้เศษกระดาษ น้ำตาล เส้นผม ฯลฯ ประจุลบบนลูกโป่งจึงดูดประจุบวกบนเศษกระดาษ น้ำตาล เส้นผม ฯลฯ ทำให้สิ่งเหล่านี้ถูกดูดติดกับลูกโป่ง
การทดลองนี้ต้องทดลองในวันที่อากาศแห้ง วัสดุต่างๆ ต้องแห้งด้วย จึงจะได้ผล
การทดลองหอบไปได้
วัสดุอุปกรณ์
1.ลูกปิงปอง 2 ลูก
2.เชือกขนาดเล็ก 2 เส้น
3.ไม้บรรทัดหนา
4.หนังสือหลายๆ เล่ม
5.เทปใส
วิธีการทดลอง1.ใช้เทปใสติดปลายเชือกกับลูกปิงปองเส้นละลูก แล้วผูกอีกปลายหนึ่ง เข้ากับไม้บรรทัด ให้ลูกปิงปองห่างกันประมาณ 2 เซนติเมตร
2.วางไม้บรรทัดในข้อ 1 ไว้บนขอบโต๊ะโดยให้ส่วนที่มีลูกปิงปองห้อยนั้น อยู่ห่างจากขอบโต๊ะประมาณ 10 เซนติเมตร ใช้หนังสือหลายๆเล่มทับ ไม้บรรทัดด้านที่อยู่บนโต๊ะ
3. เป่าลมผ่านช่องระหว่างลูกปิงปอง ทั้งสองลูกก่อนเป่าให้คาดเดาไว้ว่า จะเกิดอะไรขึ้น สังเกตผล
4.ทำเช่นเดียวกับข้อ 3 โดยเป่าด้วย แรงมากน้อยต่างกัน สังเกตผล
ผลการทดลอง
เมื่อเป่าลมผ่านระหว่างลูกปิงปอง ลูกปิงปองทั้งสองจะเบนเข้าหากัน และยิ่งเป่าแรงมาก ลูกปิงปองก็จะเบนเข้าหากันมากขึ้นและอาจชนกัน การที่ลูกปิงปองเบนเข้าหากันนั้น เนื่องจากเมื่อเป่าลมจะทำให้อากาศ ระหว่างลูกปิงปองเคลื่อนที่ ทำให้บริเวณนั้นมีความดันอากาศต่ำลง อากาศบริเวณที่อยู่ด้านนอกลูกปิงปองทั้งสอง ซึ่งมีความดันอากาศปกติ แต่สูงกว่าอากาศระหว่างลูกปิงปองจะดันลูกปิงปองไปในทิศทางที่อากาศ มีความดันต่ำกว่า
การที่อากาศเคลื่อนที่เร็วทำให้บริเวณนั้นมีความดันอากาศลดลง ยิ่ง เคลื่อนที่เร็วมากแค่ไหน ความดันอากาศก็จะยิ่งลดลงมากเท่านั้น และนี่ เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ทอร์นาโด ซึ่งมีความเร็วลมมากอาจถึง 480 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง สามารถทำลายสิ่งต่างๆได้ และหอบเอา บ้าน รถยนต์ และอื่นๆ ไปด้วย
วัสดุอุปกรณ์
1.ลูกปิงปอง 2 ลูก
2.เชือกขนาดเล็ก 2 เส้น
3.ไม้บรรทัดหนา
4.หนังสือหลายๆ เล่ม
5.เทปใส
วิธีการทดลอง1.ใช้เทปใสติดปลายเชือกกับลูกปิงปองเส้นละลูก แล้วผูกอีกปลายหนึ่ง เข้ากับไม้บรรทัด ให้ลูกปิงปองห่างกันประมาณ 2 เซนติเมตร
2.วางไม้บรรทัดในข้อ 1 ไว้บนขอบโต๊ะโดยให้ส่วนที่มีลูกปิงปองห้อยนั้น อยู่ห่างจากขอบโต๊ะประมาณ 10 เซนติเมตร ใช้หนังสือหลายๆเล่มทับ ไม้บรรทัดด้านที่อยู่บนโต๊ะ
3. เป่าลมผ่านช่องระหว่างลูกปิงปอง ทั้งสองลูกก่อนเป่าให้คาดเดาไว้ว่า จะเกิดอะไรขึ้น สังเกตผล
4.ทำเช่นเดียวกับข้อ 3 โดยเป่าด้วย แรงมากน้อยต่างกัน สังเกตผล
ผลการทดลอง
เมื่อเป่าลมผ่านระหว่างลูกปิงปอง ลูกปิงปองทั้งสองจะเบนเข้าหากัน และยิ่งเป่าแรงมาก ลูกปิงปองก็จะเบนเข้าหากันมากขึ้นและอาจชนกัน การที่ลูกปิงปองเบนเข้าหากันนั้น เนื่องจากเมื่อเป่าลมจะทำให้อากาศ ระหว่างลูกปิงปองเคลื่อนที่ ทำให้บริเวณนั้นมีความดันอากาศต่ำลง อากาศบริเวณที่อยู่ด้านนอกลูกปิงปองทั้งสอง ซึ่งมีความดันอากาศปกติ แต่สูงกว่าอากาศระหว่างลูกปิงปองจะดันลูกปิงปองไปในทิศทางที่อากาศ มีความดันต่ำกว่า
การที่อากาศเคลื่อนที่เร็วทำให้บริเวณนั้นมีความดันอากาศลดลง ยิ่ง เคลื่อนที่เร็วมากแค่ไหน ความดันอากาศก็จะยิ่งลดลงมากเท่านั้น และนี่ เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ทอร์นาโด ซึ่งมีความเร็วลมมากอาจถึง 480 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง สามารถทำลายสิ่งต่างๆได้ และหอบเอา บ้าน รถยนต์ และอื่นๆ ไปด้วย
การทดลองไข่เอ๋ย......จงนิ่ม
น้ำส้มสายชูเป็นสารเคมีประเภทกรดอินทรีย์ ได้แก่ กรดน้ำส้มหรือกรดอะซิติก ซึ่งสามารถละลายแคลเซียมได้ เปลือกไข่มีแคลเซียมเป็นองค์ประกอบหลักที่ทำให้เปลือกไข่แข็ง เมื่อถูกละลายหายไป เปลือกไข่จึงนิ่ม
สิ่งที่ต้องใช้
- แก้ว 1 ใบ
- ไข่ไก่ 1 ฟอง
- น้ำส้มสายชู
วิธีทดลอง
- นำไข่ไก่ใส่ลงไปในแก้ว
- เทน้ำส้มสายชูลงไปให้ท่วมไข่
- ทิ้งไว้ 1 คืน อดใจรอนะพอตอนเช้าเทน้ำออกก็แล้วลองจับไข่ดูซิ..
น้ำส้มสายชูเป็นสารเคมีประเภทกรดอินทรีย์ ได้แก่ กรดน้ำส้มหรือกรดอะซิติก ซึ่งสามารถละลายแคลเซียมได้ เปลือกไข่มีแคลเซียมเป็นองค์ประกอบหลักที่ทำให้เปลือกไข่แข็ง เมื่อถูกละลายหายไป เปลือกไข่จึงนิ่ม
การทดลองความลับของสี
สิ่งที่ต้องใช้
- สีเมจิ สีดำ , น้ำเงิน , น้ำตาล (สีเข้มๆจะให้ผลการทดลองที่น่าตื่นเต้น)
- กระดาษกรองกาแฟ , กรองตะกอนน้ำมัน
- แก้วใส่น้ำ
วิธีทดลอง
- ตัดกระดาษกรองเป็นแถบยาวๆ
- ระบายสีเมจิที่ต้องการทดสอบให้เป็นแถบหนา โดยห่างจากปลายกระดาษประมาณ 1 ซม.
- จุ่มปลายกระดาษในช่วงที่เว้นไว้ 1ซม. ลงในน้ำ *ระวังอย่าให้เส้นสีที่ขีดไว้จมน้ำ เพราะสีจะลายลายลงน้ำ
- รอดู สังเกตแถบสีที่เริ่มไต่สูงขึ้นไปบนกระดาษกรอง เธอเห็นสีอะไรซ่อนอยู่?
- นำกระดาษไปหนีบผึ่งไว้กับที่ตากถุงเท้า แล้วทดลองสีต่อไป
เพราะอะไรกันนะ
สีสังเคราะห์เกิดจากการผสมของแม่สี คือ แดง เหลือง น้ำเงิน ในอัตราส่วนไม่เท่ากัน ทำให้เกิดสีต่างๆมากมาย การแยกสีด้วยกระดาษกรองนี้ เราเรียกว่า "เปอเปอร์โครมาโทกราฟี" (Paper Chromatography) ซึ่งเป็นการแยกสารที่ผสมกันในปริมาณน้อยให้แยกออกมาเป็นแถบเส้นสีหรือแถบสี อาศัยสมบัติ 2 ประการ คือ
1. สารต่างชนิดกันมีความสามารถในการละลายในตัวทำละลาย (น้ำ) ได้ต่างกัน
2. สารต่างชนิดกันมีความสามารถในการถูกดูดซับด้วยตัวดูดซับ (กระดาษกรอง)ได้ต่างกัน
สารที่ละลายในตัวทำละลายได้ดีส่วนมากจะถูกดูดซับไม่ดี จึงเคลื่อนที่ไปได้ไกล ส่วนสารที่ละลายในตัวทำละลายได้ไม่ดี ส่วนมากจะถูกดูดซับได้ดีจึงอยู่ใกล้จุดเริ่มต้น
1. สารต่างชนิดกันมีความสามารถในการละลายในตัวทำละลาย (น้ำ) ได้ต่างกัน
2. สารต่างชนิดกันมีความสามารถในการถูกดูดซับด้วยตัวดูดซับ (กระดาษกรอง)ได้ต่างกัน
สารที่ละลายในตัวทำละลายได้ดีส่วนมากจะถูกดูดซับไม่ดี จึงเคลื่อนที่ไปได้ไกล ส่วนสารที่ละลายในตัวทำละลายได้ไม่ดี ส่วนมากจะถูกดูดซับได้ดีจึงอยู่ใกล้จุดเริ่มต้น
การทดลองเปลวไฟลอยน้ำ
สิ่งที่ต้องใช้
- เทียนไข
- แก้วทรงสูงใส่น้ำ (ต้องสูงกว่าความยาวเทียนนะ)
- หมุดหัวหมวก หรือตะปูเกลียวตัวเล็กๆ
วิธีทดลอง
- เติมน้ำลงในแก้ว 5/6 แก้ว
- นำหมุดมาปักลงที่ฐานเทียนไข(ด้านป้าน)
- นำแท่งเทียนใส่ลงไปในแก้วน้ำ แล้วจุดเทียน
เพราะอะไรกันนะ
เทียนไขลอยอยู่ที่ผิวน้ำได้ และไฟก็จะไม่ดับ เพราะเทียนทำจากขี้ผึ้งพาราฟินจึงไม่เปียกน้ำ และหมุดหัวหมวก ทำหน้าที่เป็นจุดรวมน้ำหนักให้อยู่ที่แกนกลางแท่งเทียนจึงไม่เอียงคว่ำ ขี้ผึ้งพาราฟินเป็นไขมันที่ได้จากการกลั่นจากปิโตรเลียมมีลักษณะใส ไม่มีกลิ่น ไม่มีรสชาติ คล้ายกับขี้ผึ้ง จุดหลอมเหลวที่ 47-64 องศาเซลเซียส ซึ่งขี้ผึ้งพาราฟินบริสุทธิ์จะมีคุณสมบัติเป็นฉนวนกันความร้อนที่ดี ไม่ละลายน้ำ พาราฟินมักนำมาทำเทียนไข หรือเคลือบวัสดุต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้โดนความชื้นจากน้ำ
การทดลองน้ำส้มสายชูเป่าลูกโป่ง
อุปกรณ์
1. ลูกโป่งกลม 1
ใบ
2. กรวย 1 อัน
3. ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ
4. น้ำส้มสายชู
5. ขวดพลาสติกใสขนาด 1 ลิตร
6. ช้อนโต๊ะ
2. กรวย 1 อัน
3. ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ
4. น้ำส้มสายชู
5. ขวดพลาสติกใสขนาด 1 ลิตร
6. ช้อนโต๊ะ
การทดลอง
1. นำลูกโป่งครอบเข้ากับกรวย ดังภาพที่ 1 แล้วบรรจุผงฟูจำนวน 1 ช้อนโต๊ะ ลงในลูกโป่ง
2. บรรจุน้ำส้มสายชูลงในขวดพลาสติกใส ประมาณ 1 ใน 4 ของขวด โดยใช้กรวย เพื่อไม่ให้น้ำส้มสายชูหก
3. นำลูกโป่งที่บรรจุผงฟูครอบลงไปบนปากขวดพลาสติก ดึงให้แน่น ( ระวังอย่าเพิ่งให้ผงฟูร่วงลงในขวด)
4. เมื่อแน่ใจว่า ลูกโป่งยึดติดกับปากขวดแน่นแล้ว ให้ยกลูกโป่งขึ้น เพื่อให้ผงฟูหล่นลงในน้ำส้มสายชู สังเกตผลการทดลอง
1. นำลูกโป่งครอบเข้ากับกรวย ดังภาพที่ 1 แล้วบรรจุผงฟูจำนวน 1 ช้อนโต๊ะ ลงในลูกโป่ง
2. บรรจุน้ำส้มสายชูลงในขวดพลาสติกใส ประมาณ 1 ใน 4 ของขวด โดยใช้กรวย เพื่อไม่ให้น้ำส้มสายชูหก
3. นำลูกโป่งที่บรรจุผงฟูครอบลงไปบนปากขวดพลาสติก ดึงให้แน่น ( ระวังอย่าเพิ่งให้ผงฟูร่วงลงในขวด)
4. เมื่อแน่ใจว่า ลูกโป่งยึดติดกับปากขวดแน่นแล้ว ให้ยกลูกโป่งขึ้น เพื่อให้ผงฟูหล่นลงในน้ำส้มสายชู สังเกตผลการทดลอง
เป็นอย่างไรบ้าง เกิดอะไรขึ้นกับลูกโป่ง
เมื่อเรายกลูกโป่งขึ้นเพื่อให้ผงฟูที่อยู่ด้านในร่วงลงไปรวมกับน้ำส้มสายชู
จะสังเกตเห็นว่ามีฟองอากาศปุดๆ เกิดขึ้นมากมายภายในขวดพลาสติก
แล้วเจ้าลูกโป่งที่นอนคอพับอยู่ก็ค่อย ๆ พองขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
หากเราใช้น้ำส้มสายชูและผงฟูมากเกินไป ลูกโป่งก็อาจจะแตกได้
หลายคนคงสงสัยว่าอะไรที่เป็นสาเหตุให้ลูกโป่งขยายใหญ่ขึ้น
และสิ่งนั้นก็คือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ซึ่งเป็นก๊าซชนิดเดียวกับที่เราหายใจออกมานั่นเอง
เมื่อน้ำส้มสายชูรวมกับผงฟู หรือหลาย ๆ คนอาจจะเรียกว่า เบกกิ้งโซดา (Baking Soda) จะเกิดการทำปฏิกิริยาทางเคมี และมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น จนได้สารชนิดใหม่ ที่เรียกว่า ก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ สำหรับผงฟูนั้นหลายคนคงจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะคนที่ทำขนม ซึ่งประโยชน์ของผงฟูนั้นนอกจากจะช่วยทำให้อาหารขึ้นฟู โดยเฉพาะขนมเค้ก หรือคุกกี้ แล้ว ยังสามารถนำผงฟูไปผสมกับน้ำ สำหรับแช่ผักผลไม้ ซึ่งจะสามารถลดสารพิษตกค้างได้ถึง 90-95 เปอเซ็นต์
เมื่อน้ำส้มสายชูรวมกับผงฟู หรือหลาย ๆ คนอาจจะเรียกว่า เบกกิ้งโซดา (Baking Soda) จะเกิดการทำปฏิกิริยาทางเคมี และมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น จนได้สารชนิดใหม่ ที่เรียกว่า ก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ สำหรับผงฟูนั้นหลายคนคงจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะคนที่ทำขนม ซึ่งประโยชน์ของผงฟูนั้นนอกจากจะช่วยทำให้อาหารขึ้นฟู โดยเฉพาะขนมเค้ก หรือคุกกี้ แล้ว ยังสามารถนำผงฟูไปผสมกับน้ำ สำหรับแช่ผักผลไม้ ซึ่งจะสามารถลดสารพิษตกค้างได้ถึง 90-95 เปอเซ็นต์
การทดลอง สีเต้นระบำ
สิ่งที่ต้องใช้
- นมสด
- สีผสมอาหาร 2-3 สี
- น้ำยาล้างจาน
- จานก้นลึก
- eye dropper หรือ cotton bud
สิ่งที่ต้องใช้
- นมสด
- สีผสมอาหาร 2-3 สี
- น้ำยาล้างจาน
- จานก้นลึก
- eye dropper หรือ cotton bud
วิธีทำ
- เทนมลงในจาน วางทิ้งไว้ให้น้ำนมนิ่งๆ
- หยดสีผสมอาหารลงไปตรงกลางจาน สีละ 1 หยด
- หยดน้ำยาล้างจานลงไปบนสีผสมอาหาร ไม่ต้องมากนะคะ ทีละ 1 หยด หรือจะใช้ cotton bud ชุบน้ำยาล้างจานจุ่มลงไปตรงกลางสีที่เราหยดไว้ก็ได้ค่ะ
- เทนมลงในจาน วางทิ้งไว้ให้น้ำนมนิ่งๆ
- หยดสีผสมอาหารลงไปตรงกลางจาน สีละ 1 หยด
- หยดน้ำยาล้างจานลงไปบนสีผสมอาหาร ไม่ต้องมากนะคะ ทีละ 1 หยด หรือจะใช้ cotton bud ชุบน้ำยาล้างจานจุ่มลงไปตรงกลางสีที่เราหยดไว้ก็ได้ค่ะ
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเราจะเห็นสีวิ่งวนไปมา เคลื่อนไหวไปทั่วจาน จากปฏิกริยาของน้ำยาล้างจานกับไขมันในน้ำนม เมื่อสีหยุดวิ่งแล้ว เราสามารถหยดน้ำยาล้างจานลงไปซ้ำได้เรื่อยๆ ค่ะ จนกว่าน้ำสีจะผสมกันจนกลายเป็นสีหม่นๆ รับรองว่าเจ้าตัวเล็กจะต้องบอก เอาอีก เอาอีก และเอาอีก ^.^
เกิดอะไรขึ้น : ในน้ำนมประกอบไปด้วย น้ำ โปรตีน แร่ธาตุ และไขมัน น้ำยาล้างจานจะไปทำให้โมเลกุลของโปรตีนและไขมันเกิดการเปลี่ยนแปลง และแตกกระจาย โค้ง บิดเบี้ยว ม้วน (ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ทำให้เราสามารถล้างจานมันๆ ได้อย่างสะอาดหมดจดนั่นเอง) และสีผสมอาหารที่หยดลงไปในนมจะช่วยให้เราสามารถสังเกตุการเปลี่ยนแปลงที่มองไม่เห็นนั้นได้อย่างง่ายดาย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)